The Great Gatsby
ผู้เขียน เอฟ. สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้แปล โตมร ศุขปรีชา
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก Wonderwhale
จำนวน 184 หน้า ราคาปกอ่อน 250 บาท ราคาปกแข็ง 320 บาท
ปีที่พิมพ์ ธันวาคม 2560
ISBN ปกอ่อน 978-616-8123-0-4-1
ISBN ปกแข็ง 978-616-8123-05-8
เกือบศตวรรษแล้วที่ The Great Gatsby (1925) หรือ แก็ตสบี้ ความหวังยิ่งใหญ่และหัวใจมั่นคง ได้รับการตีพิมพ์ออกมาสู่สายตานักอ่านทั่วโลก ถูกยกย่องเป็นผลงานทรงคุณค่าของทุกยุคสมัย ถือเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่บันทึกและตีแผ่ “ความเป็นอเมริกัน” ในโลกสมัยใหม่ได้ดีที่สุดเล่มหนึ่ง
เรื่องราวของความรัก ความหลง การทรยศ และความพ่ายแพ้สิ้นหวังถ่ายทอดผ่านมุมมองของ นิค คาราเวย์ ชายหนุ่มธรรมดาที่มีโอกาสก้าวเข้าสู่แวดวงการค้า การเงิน และสังคมชั้นสูง เล่าถึง เจย์ แก็ตสบี้ บุรุษปริศนาผู้เป็นเพื่อนบ้านของเขาที่มักจัดงานเลี้ยงใหญ่โตสุดอู้ฟู่ที่ผู้คนทั้งเมืองต่างกระหายเข้าร่วม แต่แท้จริงนั้นการจัดงานเพียงเพื่อรอได้พบกับหญิงสาวที่เคยพลัดพรากจากกันในอดีต แก็ตสบี้พลิกชะตาชีวิตที่น่าอดสู กระเสือกกระสนสร้างฐานะเพื่อให้ตัวเองทัดเทียมหญิงสาว และหวังจะครอบครองหัวใจเธออีกครั้งโดยไม่สนใจว่าเธอมีพันธะที่เรียกว่า ‘การสมรส’ ไปแล้ว ความทะเยอทะยานของแก็ตสบี้ผู้มั่งคั่งและมั่งคงในรักทำให้ตัวเขาเองก้าวลงสู่ปลายทางอันมอดไหม้ กลายเป็นโศกนาฏกรรมชีวิตแสนรันทดใจไปในที่สุด
สำนวนภาษาใน The Great Gatsby แสดงความเป็นเอกทางการประพันธ์ของฟิตเจอรัลด์ แสนไพเราะ อุดมด้วยการเปรียบเปรยและความหมายหลายนัย พรรณนาโวหารที่ฟุ้งฝันทำให้ภาพที่เห็นดูคลุมเครือทว่างดงามวิจิตรจนน่าหลงใหล เมื่อผนวกเข้ากับเนื้อหาที่ว่าด้วยความฟุ้งเฟ้อจอมปลอมของเหล่าอเมริกันชนผู้มั่งคั่งในยุคทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่อง ก็ยิ่งทำให้งานเขียนของฟิตซ์เจอรัลด์เล่มนี้ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นวรรณกรรมอมตะเรื่องเยี่ยมที่เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างสง่างามจวบจนวันนี้
ไลบรารี่ เฮ้าส์มีความยินดีนำเสนอ The Great Gatsby สำนวนภาษาไทยของเราอีกครั้ง ด้วยรูปโฉมใหม่ แบบปกที่ออกแบบโดย Wonderwhale กราฟิกดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่ฝากผลงานไว้แล้วใน มื้อเช้าที่ทิฟฟานีส์ และ บทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้า
The Ballad of the Sad Café
ผู้เขียน คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส ผู้แปล จุฑามาศ แอนเนียน
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก Wonderwhale
จำนวน 95 หน้า ราคาปก 170 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-92462-7-5
__________________
The Ballad of the Sad Café หรือ บทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้า คือท่วงทำนองของหลายชีวิตที่เชื่อมโยงกันด้วยความโหยหา ความเปลี่ยวเหงา และความรักที่ต้องการแบ่งปันและเข้าใจ ผลงานของคาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส นักเขียนหญิงชาวอเมริกัน ผู้ถักทอร้อยเรียงองค์ประกอบแห่งบทเพลงแสนเหงาเศร้าให้เป็นนวนิยายขนาดสั้น จนทำให้หัวใจนักอ่านไหวสั่นได้อย่างประหลาดลึกผิดธรรมดา
นี่คือเรื่องราวของมิสอมีเลีย อีแวนส์ หญิงสาวร่างสูง แข็งแกร่ง และสุขุมรอบคอบ เปิดร้านขายของอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง และอยู่ตามลำพังโดยตลอด จะยกเว้นก็แต่ในการแต่งงานหายนะที่กินเวลาเพียงแค่สิบวันเท่า แต่แล้วจู่ๆ ไลมอน ญาติคนหนึ่งของเธอก็โผล่มา เขาเป็นชายหลังค่อมจอมวางท่าที่ขโมยหัวใจของมิสอมีเลียไป ทั้งคู่ช่วยกันเปลี่ยนร้านค้าให้กลายเป็นคาเฟ่ที่ครึกครื้นมีชีวิตชีวาที่บรรดาคนในละแวกนั้นพากันมาดื่มกินและซุบซิบกัน แต่แล้วเมื่อมาร์วิน มาซี อดีตสามีตัวอันตรายที่เธอขับไล่ไสส่งย้อนกลับมา ความรักสามเส้าแสนพิสดารที่นำมาซึ่งความรุนแรง เกลียดชัง และการทรยศหักหลังก็เกิดขึ้น กลายเป็นเรื่องราวชีวิตแสนเศร้าที่แม็คคัลเลอร์สร้อยเรียงขึ้นมาโดยมีคาเฟ่และมิสอมีเลียผู้โดดเดี่ยวเป็นศูนย์กลาง
La Lunga Vita di Marianna Ucrìa
ผู้แต่ง ดาชา มาราอินี ผู้แปล นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ (แปลจากภาษาอิตาลี)
บรรณาธิการต้นฉบับ ชัตสุนี สินธุสิงห์
ผู้ออกแบบปก wrongdesign
จำนวน 366 หน้า ราคาปก 390 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-8123-0-1-0
ย้อนไปในอิตาลีสมัยศตวรรษที่ 18 เล่าถึงชีวิตของมาเรียนนา อูเครีย ตั้งแต่วัยเด็กจนเป็นสาวและเข้าสู่วัยชรา มาเรียนนาเกิดในตระกูลเก่าแก่ของอิตาลีภาคใต้ ถูกพ่อแม่จับแต่งงานกับลุงของตัวเองตอนอายุ 13 ปี เพื่อค้ำจุนสถานะของครอบครัว และเพราะว่ามาเรียนนาเป็นเด็กสาวที่เป็นใบ้และหูหนวก (พ่อแม่จึงคิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยากแต่งงานด้วยแน่นอน) แต่ความพิการนี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการมีชีวิตครอบครัว มาเรียนนาชอบอ่านหนังสือและมีความรู้รอบตัวมาก ในช่วงวัยเด็กและวัยสาวมักหมกตัวอยู่ในห้องสมุดส่วนตัวที่สั่งหนังสือมาจากต่างเมือง เช่น โรม เวนิส ปารีส ฯลฯ เธอใช้วิธีเขียนข้อความสื่อสารกับทุกคนในครอบครัว (รวมทั้งบ่าวรับใช้) ซึ่งการสื่อสารผ่านความเงียบทำให้หลายครั้งดูเหมือนว่ามาเรียนนาสามารถอ่านใจหรือรับรู้ความนึกคิดของคู่สนทนาด้วยสัมผัสพิเศษด้วย ภาษาและวิธีการเรียงเรื่องคือเสน่ห์และจุดสำคัญที่สุด มาราอินีบรรยายบรรยากาศและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อย่างละมุนละไม เช่น การบรรยายว่ามาเรียนนาเห็น ”แสงสีฟ้า” ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง การบรรยายกลิ่นของเครื่องหอมโบราญ การคลอดลูก อาหารการกินของชนชั้นสูงอิตาลีในสมัยนั้น ธีมหลักคิดว่าเป็นเรื่องบทบาทของผู้หญิงยุคเก่าที่ยังถูกกดข่มไว้ด้วยอำนาจของผู้ชาย แต่ว่ามาเรียนนาคือตัวแทนของผู้หญิงที่ “แตกต่าง” ไปจากคนอื่นๆ ทั้งด้านจิตวิญาณและกายภาพ
Breakfast at Tiffany’s
ผู้แต่ง ทรูแมน คาโพที ผู้แปล โตมร ศุขปรีชา
บรรณาธิการต้นฉบับ นลัท ตั้งพรพิพัฒน์
ผู้ออกแบบปก Wonderwhale
จำนวน 109 หน้า ราคาปก 190 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-92462-9-9
ผลงานเล่มดังของนักเขียนอเมริกัน ทรูแมน คาโพที กล่าวถึงหัวใจเสรีของหญิงสาวผู้ไม่ยอมถูกร้อยรัดผูกมัดอยู่กับสิ่งใด เป็นนวนิยายขนาดสั้นสมัยใหม่ที่ชวนคุณขบคิดถึงความหมายและคุณค่าของความรัก มิตรภาพ และการดำรงอยู่ของชีวิตที่มุ่งแสวงหาความพึงพอใจภายใต้ข้อจำกัดในตัวตนที่เลื่อนไหลและสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มื้อเช้าที่ทิฟฟานีส์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 เล่าเรื่องด้วยท่วงทำนองภาษาจิกกัดแสบสัน แต่ก็อบอวลไปด้วยความละมุนละไมแทบทุกฉากทุกชั้นบรรยากาศ
Brief an dan Vater
ผู้เขียน ฟรันซ์ คาฟคา ผู้แปล ถนอมนวล โอเจริญ (แปลจากภาษาเยอรมัน)
จำนวน 104 หน้า ราคาปก 170 บาท
ปีที่พิมพ์ พฤศจิกายน 2560 ISBN 978-616-8123-03-4
__________________
จดหมายถึงพ่อ หรือ BRIEF AN DEN VATER คือจดหมายที่ฟรันซ์ คาฟคาพูดถึงความขัดแย้งในความสัมพันธ์ของตัวเองกับพ่อที่ส่งผลให้ชีวิตของเขาล้มเหลว อำนาจของพ่อที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบเป็นเงาขยายครอบงำความคิดและการดำเนินชีวิตของผู้เป็นลูก การเลี้ยงดูสั่งสอนสร้างความขลาดกลัวจนเป็นปมขัดแย้งภายในจิตใจ การที่ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของพ่อก็ยิ่งตอกย้ำความด้อยค่าที่คาฟคารู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเวลาที่อยู่กับครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกพังทลายกลายเป็นแผลฉกรรจ์สร้างความเจ็บปวดและขมขื่นไปตลอดชีวิต
ฟรันซ์ คาฟคาเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความอัดอั้นจากเหตุการณ์ขัดแย้งรุนแรงต่อกรณีล้มเลิกการแต่งงานกับยูลี วอริเซคเพราะพ่อไม่เห็นด้วย ด้วยว่าเธอมีฐานะทางครอบครัวไม่เทียบเคียงกับครอบครัวคาฟคาได้ เมื่อเขียนจบเขาตั้งใจจะส่งจดหมายฉบับนี้ถึงพ่อทางไปรษณีย์แต่ทว่าเขาไม่ได้ส่งมันอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่นำติดตัวกลับมาที่กรุงปรากหวังจะมอบให้ด้วยตนเองแต่ก็ถูกแม่และน้องสาวห้ามไว้ สุดท้ายแล้วจดหมายฉบับนี้ก็ไม่เคยถึงมือพ่อ แม้กระทั่งในตอนที่คาฟคาจากโลกนี้ไปแล้ว
งานเขียนชิ้นนี้เรียงร้อยด้วยภาษาเรียบง่ายทว่าถ้อยคำแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกและความคิดผ่านตัวตนอย่างลึกซึ้ง ฉายภาพที่ดูบิดเบี้ยวเกินจริง เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของผู้เขียนสร้างมุมมองที่แปลกประหลาด น้ำเสียงที่เล่าเหตุการณ์เต็มด้วยความปวดร้าวสะท้อนความสับสนและการต่อสู้กับความขัดแย้งในใจของตนเอง
จดหมายถึงพ่อ เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สะท้อนความขัดแย้งของพ่อกับลูก ซึ่งความขัดแย้งนี้คือปฐมเหตุที่ทำให้คาฟคามิอาจดำเนินชีวิตด้วยความภาคภูมิและมั่นใจ บาดแผลในจิตใจเหล่านี้ล้วนได้มาจากหนามแหลมบนต้นไม้ใหญ่ที่เสียดแทงหัวใจคาฟคาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
วรรณกรรมแปลของไลบรารี่ เฮ้าส์เล่มนี้ ได้รับทุนสนับสนุนการแปลจากสถาบันเกอเธ่ สำนักงานใหญ่ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี
Delta of Venus
ผู้แต่ง อนาอิส นิน ผู้แปล รังสิมา ตันสกุล
บรรณาธิการต้นฉบับ ต้องตา สุธรรมรังสี
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 332 หน้า ราคาปก 380 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-92462-8-2
รวมเรื่องสั้นอีโรติก 15 เรื่องที่ตัวละครมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ดั้งเดิมอนาอิส นินเขียนวรรณกรรมเล่มนี้เพื่อยังชีพโดยแท้จริง เพราะได้รับการจ้างให้เขียนงานอีโรติกให้แก่ลูกค้ารายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนามอ่านเพียงผู้เดียวในช่วงทศวรรษ 1940 (ทราบแต่เพียงว่าลูกค้าลึกลับรายนี้เป็น ‘นักสะสมหนังสือ’) แม้นว่าประวัติศาสตร์ตั้งต้นของตัวหนังสือจะดูเหมือนว่าคุณค่าความเป็นวรรณกรรมถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียงสินค้าสนองความใคร่ แต่อนาอิส นินผู้ลุ่มหลงเสน่ห์ของภาษาก็ได้ใช้ทักษะความสามารถและพรสวรรค์ทางศิลปะ รวมทั้งพื้นฐานความรู้ความเข้าใจทางจิตวิทยามาหลอมรวมกัน จนสามารถรังสรรค์งานเขียนชิ้นนี้ออกมาได้อย่างเต็มไปด้วยสุนทรียภาพและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเมื่อได้รับการตีพิมพ์ 30 ปีให้หลัง หากได้อ่านทั้งเล่มแล้ว จะเห็นอย่างชัดเจนว่ารายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัย บุคลิกลักษณะของตัวละคร ฉากหลังของเรื่อง ถูกเคล้นคลึงให้แนบแน่นแอบอิงไปกับบริบททางสังคม (สงครามโลก) อย่างนุ่มนวล ถ้อยคำที่สรรมาใช้อย่างประณีต อ่อนโยน และลึกซึ้ง คือถ้อยคำที่ผู้หญิงอย่างอนาอิส นิน เชื่อว่าสามารถทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างการอธิบายสิ่งที่ร่างกายรู้สึกและสิ่งที่หัวใจสัมผัสได้ดีกว่าภาษาอีโรติกของนักเขียนชาย
Cat in the Rain and other selected stories.
ผู้เขียน เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ผู้แปล สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
บรรณาธิการต้นฉบับ รังสิมา ตันสกุล
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 120 หน้า ราคาปก 170 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-8123-0-0-3
Selected Short Stories ลำดับที่ 3
แมวในสายฝน และเรื่องสั้นคัดสรรอื่นๆ อีก 10 เรื่อง ผลงานของนักเขียนอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ที่เราคัดและเล็งแล้วว่าควรค่าแห่งการทำความรู้จัก เข้าใจ ล้วงลึกถึงกลเม็ดเด็ดพรายการปรุงแต่งงานประพันธ์จากถ้อยคำเรียบง่าย สั้น กระชับ ด้วยท่วงทำนองการเล่าเรื่องเฉพาะตัว-เรื่องสั้นๆ
ในเล่มนี้ประกอบด้วยเรื่องสั้นทั้งหมด 11 เรื่อง
A Rose for Emily and other selected stories.
ผู้เขียน วิลเลียม โฟล์คเนอร์ ผู้แปล สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
บรรณาธิการต้นฉบับ รังสิมา ตันสกุล
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 128 หน้า ราคาปก 170 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-92462-6-8
Selected Short Stories ลำดับที่ 2
6 เรื่องเพชรน้ำเอกจากมวลหมู่งานประพันธ์ประเภทเรื่องสั้นของวิลเลียม โฟล์คเนอร์ นักเขียนอเมริกันที่ชอบชวนให้เราเวียนว่ายในสายธารแห่งกระแสสำนึก
ในเล่มนี้ประกอบด้วย 5 เรื่องสั้น
Josefine, die Sängerin oder Das Volk der Mäuse und andere Kurzgeschichten.
ผู้เขียน ฟรันซ์ คาฟคา ผู้แปล ถนอมนวล โอเจริญ (แปลจากภาษาเยอรมัน)
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 140 หน้า ราคาปก 180 บาท
ปีที่พิมพ์ 2560 ISBN 978-616-92462-5-1
__________________
Selected Short Stories ลำดับที่ 1
โยเซฟิเนอ นักร้องสาวหรือประชากรหนู และเรื่องสั้นคัดสรรอื่นๆ อีก 5 เรื่อง งานเขียนในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ของฟรันซ์ คาฟคา นักเขียนชาวเช็กที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
ในเล่มนี้ประกอบด้วย 6 เรื่องสั้น
Le Diable au corps
ผู้เขียน เรย์มงด์ ราดิเกต์ ผู้แปล อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง (แปลจากภาษาฝรั่งเศส)
บรรณาธิการต้นฉบับ มาร์แซลล์ บารัง
ผู้ออกแบบปก Wonderwhale
จำนวน 194 หน้า ราคาปก 250 บาท
ปีที่พิมพ์ 15 พฤษภาคม 2561 ISBN 978-616-8123-12-6
รักร้าย หรือ LE DIABLE AU CORPS คือความสัมพันธ์ลึกซึ้งของเด็กหนุ่มวัย 16 ปี กับหญิงสาววัย 18 ปี เรื่องนี้คงเป็นเพียงเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวธรรมดาคู่หนึ่ง หากมิใ่ช่ว่าหญิงสาวนั้นเป็นภรรยาของนายทหารหนุ่มที่กำลังออกรบในสงคราม รักร้าย จึงเป็นเรื่องของความล่วงล้ำ เกินเลย เรื่องของการควบคุมอารมณ์และความปรารถนา เรื่องของความชอบธรรมระหว่างมนุษย์สองคนที่ตกหลุมรักกันและกันในวาระต้องห้าม การเปิดเผยความกล้าหาญและความอ่อนแอต่อศีลธรรมในใจ และพิษสงของความรักที่ส่งผลร้ายกาจเกินกว่าจะคาดคิด
การบอกเล่าจากปากของ “ผม” ถึงชีวิตของตนเอง โดยมีฉากหลังคือประเทศฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากเด็กอายุ 12 ปีที่เต็มไปด้วยวีรกรรมหัวเลี้ยวหัวต่อ เรื่องรักแบบเด็กๆ เพื่อนฝูงและวิกฤตการเรียน จนเมื่ออายุ 16 ปี ในฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่ง ครอบครัวของเขาเดินทางไปเยี่ยมเยือนครอบครัวกรองจิเอร์ที่เมืองลา วาแรนน์ ที่นั่นเขาไ้ด้รู้จักกับมาร์ธ ลูกสาวของครอบครัวกรองจิเอร์ผู้มีเสน่ห์ เขาตกหลุมรักและพยายามใกล้ชิดเธอ หาโอกาสมีส่วนร่วมในชีวิตเธอทั้งที่เธอหมั้นหมายอยู่กับนายทหารคนหนึ่งแล้ว ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราแม้มาร์ธจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่กลับถลำลึกมากขึ้นด้วยไฟปรารถนาและราคะที่คุโชนอยู่ในใจ ในช่วงที่สามีทหารของมาร์ธต้องไปประจำการรบ ทั้งสองก็ลักลอบพบเจอและอยู่ด้วยกันอย่างไม่เกรงกลัวคำทัดทานของคนรอบข้างและคำครหาจากสังคม หัวใจที่ลุ่มหลง อาทร เสียสละ หวาดระแวง และเห็นแก่ตัวของคนทั้งสองกำลังเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางอันแสนเจ็บปวด
รักร้าย เล่าผ่านมุมมองของบุรุษที่หนึ่งด้วยถ้อยคำแสดงอารมณ์หนุ่มอันรุ่มร้อน ประชดประชัน ขบถ ผ่านตัวตนอันสับสน ยอกย้อน และมักคร่ำครวญครุ่นคิด ซึ่งสะท้อนทัศนะที่มีต่อโลกและสังคมเวลานั้นของตัวละครอย่างลึกซึ้งคมคาย ประเด็นความรักซ่อนเร้นชวนตั้งคำถามถึงความจริงอันร้ายกาจของหัวใจมนุษย์ที่แสนลึกล้ำ
LE DIABLE AU CORPS หรือชื่อภาษาอังกฤษ The Devil in the Flesh เป็นผลงานจากปลายปากกาของ เรย์มงด์ ราดิเกต์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1923 ก่อนหน้าที่ราดิเกต์จะเสียชีวิตในวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น หนังสือเล่มนี้แปลจากภาษาฝรั่งเศสโดยตรงซึ่งถ่ายทอดอรรถรสทางวรรณศิลป์ไว้อย่างครบครัน
Gabriela, Cravo e Canela
ผู้เขียน ฌอร์จ อะมาดู ผู้แปล กอบชลี (แปลจากภาษาโปรตุเกส)
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 544 หน้า ราคาปก 520 บาท
ปีที่พิมพ์ 25 มีนาคม 2561 ISBN 978-616-8123-09-6
“...ปีที่เกิดเหตุการณ์ในสังคมและการเมืองมากเหลือ หลายสิ่งก็เปลี่ยนแปลงในเมืองอิลเญวส์ หลายคนลงความเห็นว่าเป็นปีที่กำหนดวิถีชีวิตของภูมิภาคนี้ บ้างก็ว่าเป็นปีที่เกิดเหตุพิพาทเกี่ยวกับสันดอนทราย คนอื่นๆ ก็ว่าเป็นปีแห่งการช่วงชิงอำนาจทาง การเมืองระหว่างมุงจินญู ฟัลกาว ผู้ส่งออกโกโก้ และโกโรเนลฮามิรู บาสตุส ผู้มีอิทธิพลเก๋าในท้องถิ่น อีกกลุ่มจำได้ว่าเป็นปีพิจารณาคดีอื้อฉาวของโกโรเนลเฌซูอินู เมนดงซา บ้างก็ว่าเป็นปีที่เรือสวีเดนลำแรกมาถึง ทำให้ส่งออกโกโก้ได้โดยตรง อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดกล่าวถึงปีนั้น ฤดูเก็บเกี่ยวประจำปี ค.ศ.1925 - 1926 ว่าเป็นปีแห่งความรักระหว่างนาซีบิและกาบริแอลา“
ในห้วงเวลาที่ผลโกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศบราซิล ณ เมืองอิลเญวส์ เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐบา เยียร์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากพื้นที่เกษตรกรรมเพาะปลูกกลายเป็นเมืองท่าค้าขาย ความมั่งคั่งทางเศรษกิจทำให้ความเจริญไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เกิดการพัฒนาทางสังคมเศรษฐกิจการเมือง การศึกษา ธรรมเนียมปฏิบัติ ฯลฯ แบบก้าวกระโดด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวเมืองอย่างมาก ผู้คนต่างถิ่นจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้ามามีส่วนร่วมในพลวัตของพื้นที่ เกิดเศรษฐีใหม่เจ้าของไร่โกโก้หรือโกโรเนลเต็มเมือง การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองท้องถิ่น มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มก้าวหน้า
ท่ามกลางความร้อนระอุทางสังคมของเมืองอิลเญวส์ ได้มีเรื่องราวความรักร้อนแรงระหว่างเจ้าของบาร์ชาวซีเรียกับแม่ครัวสาวเกิดขึ้น วันหนึ่งนาซีบิต้องหัวหมุนเพราะแม่ครัวลาออกกระทันหัน ด้วยความจนตรอกหาคนทำงานไม่ได้ เขารับกาบริแอลา สาวลูกผสมเนื้อตัวมอมแมมที่หนีภัยแล้งมาจากต่างถิ่นให้มาทำงานเช็ดถูบ้านแก้ขัด แต่แล้วก็ค้นพบว่าแท้จริงเธอเป็นสาวสวย สีผิวและกลิ่นกายคล้ายกานพลูและอบเชยชวนหลงใหล อีกทั้งยังมีฝีมือทำอาหารที่น่ามหัศจรรย์ กาบริแอลากลายเป็นแม่ครัวทรงเสน่ห์ประจำบาร์ เธอช่วยกิจการของเขารุ่งเรืองขึ้น นาซีบิตกหลุมรักเธออย่างจัง ทั้งสองมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง แต่ทว่ากาบริแอลาไม่ใช่หญิงแบบที่ชายคาดหวัง เธอรักอิสระ ไม่ชอบการผูกมัด จึงกลายเป็นเรื่องราวความรักในแบบที่ท้าทายขนบสังคมของเมืองอิลเญวส์และเปลี่ยน แปลงชีวิตของคนทั้งสองไปตลอดกาล
กาบริแอลา กานพลู และอบเชย หรือ GABRIELA, CRAVO E CANELA ผลงานการเขียนของ ฌอร์จ อะมาดู นักเขียนชาวบราซิลผู้ยิ่งใหญ่ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นผลงานแปลเล่มที่สองของอะมาดูที่สำนักพิมพ์ไลบรารี่ เฮ้าส์ยินดีนำเสนอถัดจากเรื่อง กัปตันเม็ดทราย หรือ Capitães da Areia แปลจากภาษาโปรตุเกสโดย กอบชลี ซึ่งผู้อ่านจะได้รับอรรถรสทางวรรณศิลป์อย่างครบครัน
GABRIELA, CRAVO E CANELA ได้รับการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ใน ค.ศ.1970, 1975 และ 2012 ออกฉายในบราซิลโปรตุเกส ประเทศในกลุ่มลูโซโฟน (ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการ) ประเทศในแถบ อเมริกาใต้และเป็นภาพยนตร์เผยแพร่โดยบริษัทเมโทร–โกลวิน–ไมเยอร์ (Metro-Goldwyn-Mayer) ใน ค.ศ.1983
ผลงานที่ตีพิมพ์นี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศบราซิล ร่วมกับมูลนิธิหอสมุดแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
The Bell Jar
ผู้เขียน ซิลเวีย แพลท ผู้แปล เจนจิรา เสรีโยธิน
บรรณาธิการต้นฉบับ รังสิมา ตันสกุล
ผู้ออกแบบปก Mongol Navy
จำนวน 272 หน้า ราคาปก 300 บาท
ปีที่พิมพ์ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ISBN 978-616-8123-06-5
ในกรงแก้ว หรือ The Bell Jar คือนวนิยายที่ตีแผ่ความคิดจิตใจของผู้หญิงได้อย่างเจ็บปวดและลึกซึ้ง เรื่องราวชีวิตของหญิงสาวผู้เป็นดั่งดาวจรัสแสงที่ต้องมอดดับเพราะความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรง ความคิดแปลกแยกและการสูญเสียการควบคุมตัวตนของเธอสร้างความปวดร้าวทุกข์ทน จนทำให้เธอกลายเป็นบ้า
เอสเทอร์ กรีนวูด หญิงสาววัยสิบเก้า หน้าตาดี มีพรสวรรค์ ฉลาดเฉลียว ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เคี่ยวเข็ญและผลักดันตัวเองเพื่อการงานที่ก้าวหน้าและชีวิตที่ดี อีกทั้งมีชายหนุ่มอนาคตไกลขอแต่งงาน เธอประสบความสำเร็จและดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ในฤดูร้อนหนึ่ง เธอกับเด็กสาวอีกสิบเอ็ดคนได้รับคัดเลือกไปฝึกงานเป็นบรรณาธิการฝึกหัดของนิตยสารระดับแนวหน้า มีโอกาสทำงานและใช้ชีวิตเจิดจรัสในสังคมนิวยอร์คแบบที่หญิงสาวทั่วไปปรารถนา แต่เอสเทอร์ไม่เป็นเช่นนั้น เธอเห็นและคิดต่างจากคนอื่นซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกแยก สับสนและโดดเดี่ยว เธอมักครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอควรไขว่คว้าแต่ในเวลาเดียวกันก็มีความหวั่นวิตกว่าทุกอย่างจะพังทลาย
เมื่อกลับบ้าน เอสเทอร์ต้องผิดหวังกับการที่วิทยาลัยตอบปฏิเสธวิชาที่เธอสมัครเรียนยิ่งทำให้เธอหดหู่ เศร้าสร้อย ใช้ชีวิตอย่างเฉยชา ไม่อาบน้ำ ไม่กิน ไม่นอน ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ารุนแรง จนต้องหาทางหลุดพ้นจากความคิดมืดหม่นที่กัดกินตัวเธอโดยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ในที่สุด เธอถูกส่งเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการช็อกไฟฟ้าที่โรงพยาบาลจิตเวช เพื่อค้นหาและเยียวยาตัวตนภายในเพื่อก้าวกลับสู่โลกใบนี้อีกครั้ง
ในกรงแก้ว เป็นนิยายกึ่งอัตชีวประวัติเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายของซิลเวีย แพลท กวี-นักเขียนหญิงชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมอเมริกันร่วมสมัย แพลทถ่ายทอดความเป็นนักกวีของเธอสู่นวนิยายเล่มนี้ด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ซื่อตรงกับความรู้สึก ทว่าคมคายลึกซึ้ง ในกรงแก้ว ตีพิมพ์ครั้งแรกในอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1963 และหลังจากนั้น แพลทตัดสินใจจบชีวิตด้วยการอัตวินิบาตกรรมในปีเดียวกันนั้นเอง
The Handmaid's Tale
ผู้เขียน มาร์กาเร็ต แอ็ตวูด ผู้แปล จุฑามาศ แอนเนียน
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก wrongdesign
จำนวน 456 หน้า ราคาปกอ่อน 450 บาท ราคาปกแข็ง 580 บาท
ปีที่พิมพ์ 20 มกราคม 2561
ISBN ปกอ่อน 978-616-8123-07-2
ISBN ปกแข็ง 978-616-8123-08-9
ในอนาคตไม่ไกลจากนี้ โลกอยู่ในยุคสงคราม ทรัพยากรขาดแคลน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ผู้คนส่วนใหญ่เป็นหมันเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะสารพิษตกค้าง ในช่วงเวลาที่มนุษยชาติกำลังจะสูญพันธุ์นี้เอง โลกสมมติหนึ่งเกิดการปฏิวัติโดยกลุ่มเผด็จการ ก่อตั้งเป็นอาณาจักรกิเลียด ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ หลักคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลถูกนำมาบังคับใช้เป็นกฎ ผ่านการตีความแบบเบ็ดเสร็จ รัฐมีอำนาจเหนือสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในทุกมิติ ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้มีอิสระในการตัดสินใจใดๆ มีการจัดลำดับชนชั้นใหม่ ผู้หญิงที่มีความสามารถในการให้กำเนิดจะอยู่ในชนชั้นแฮนด์เมด (Handmaid) หน้าที่สำคัญคือคอยเดินทางไปรับใช้ทางเพศในบ้านของชนชั้นปกครองและให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์แห่งมนุษย์
เรื่องเล่าของสาวรับใช้ เล่าโดยผู้หญิงชนชั้นแฮนด์เมดคนหนึ่งชื่อว่า ออฟเฟรด ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยดังกล่าว เผชิญเหตุการณ์ที่ลดค่าความเป็นมนุษย์ของตนซํ้าแล้วซํ้าเล่า ถูกกดขี่และลิดรอน กระทั่งชื่อที่แท้จริงยังถูกลบ ต้องใช้ชื่อที่แสดงให้เห็นถึงการอยู่ใต้บังคับบัญชา (ออฟเฟรด Offred หรือ คนของเฟรด) ความสามารถในการให้ผลผลิตกลายเป็นเครื่องต่อรองการมีชีวิตรอด ผู้อ่านจะได้รับรู้เรื่องราวชีวิต ความรู้สึก และโลกแห่งนี้ผ่านสายตาและมุมมองของออฟเฟรด สลับกับความทรงจำในช่วงชีวิตที่มีเสรีภาพก่อนจะเกิดเปลี่ยนแปลงทางสังคมของเธอ
THE HANDMAID’S TALE หรือ เรื่องเล่าของสาวรับใช้ เป็นงานเขียนอันลือลั่นของมาร์กาเร็ต แอ็ตวูด นักประพันธ์ชาวแคนาดา เป็นวรรณกรรมประเภทไซไฟดิสโทเปียที่ได้รับการยกย่องอย่างมากเรื่องหนึ่ง ถูกกล่าวถึงและหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะประเด็นเรื่องอำนาจของศาสนาและเผด็จการทหาร และที่โดดเด่นคือการที่นักเขียนเป็นผู้หญิงและเล่าโดยเสียงของตัวละครหลักเพศหญิงชนชั้นล่าง แตกต่างจากไซไฟดิสโทเปียเล่มอื่นๆ ที่นิยมเขียนโดยผู้ชายและสร้างตัวละครหลักเป็นเพศชาย
หนังสือเล่มนี้เคยได้รับรางวัล Governor General’s Award for English language fiction และ Arthur C. Clarke Award และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Booker Prize, Nebula Award และ Prometheus Award อีกทั้งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครเวที และละครวิทยุ
The Heart is a Lonely Hunter
ผู้เขียน คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส ผู้แปล จุฑามาศ แอนเนียน
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก Typhoon Studio
จำนวน 400 หน้า ราคาปก 400 บาท
ปีที่พิมพ์ 2559 ISBN 978-616-92462-1-3
หัวใจคือนักล่าผู้ว้าเหว่ พูดถึงหลายชีวิตที่แตกต่างกันทั้งวัย เพศ สถานะ ความคิด ความเชื่อ หากแต่เชื่อมโยงกันได้ด้วย “ความเหงา” ในแบบของตัวเอง อารมณ์อันเป็นสามัญและสากลนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของนวนิยายที่ทำให้มันเข้าถึงคนอ่านจำนวนมาก สิ่งที่ทำให้ความเหงาในแบบฉบับแม็คคัลเลอร์สมีพลังกระทบจิตใจอย่างพิเศษ น่าจะเป็นเพราะว่ามันผสมผสานเอาเงื่อนไขทางสังคมที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเข้าไปเป็นปัจจัยของความโดดเดี่ยว ตัวละครของแม็คคัลเลอร์สมักจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็น “คนนอก” หรือ “ผิดปกติ” ไม่ว่าในเชิงกายภาพ ความคิด หรือทั้งสองอย่าง คนเหล่านี้มีความขาดพร่องเป็นมิตรสหาย และมักไม่ถูกมองว่าสามารถมีอารมณ์ความรู้สึกแบบที่คน “ปกติ” มี ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความฝัน ความปรารถนา ความเศร้า รวมไปถึงความเหงาด้วย
ดังนี้ เราจึงได้เห็นความน่าขันและความน่าสงสาร ความน่าชื่นชมแต่น่ารังเกียจ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้ความสำคัญ รวมไปถึงความคลุมเครือของประเด็นต่างๆ ตั้งแต่เรื่อง 'อุดมการณ์' ไปจนถึงเรื่อง 'เพศสถานะ' ผ่านตัวละครอย่างซิงเกอร์ (Singer) ชายใบ้ผู้เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของทุกคน มิค เด็กหญิงบุคลิกทอมบอยผู้กำลังเติบโตเป็นสาว คุณหมอชราผิวสีนามโคปแลนด์ เจค นักเคลื่อนไหวผู้ไขว่คว้าหาโอกาสสู่ความเท่าเทียม บิฟฟ์เจ้าของคาเฟ่ และตัวละครอีกมากมายที่ล้วนไล่ล่าตามหาความเข้าใจและปรารถนาจะคลายปมความคับข้องที่ไม่มีใครมองเห็น
หัวใจคือนักล่าผู้ว้าเหว่ จะทำให้เราได้ทบทวนความสัมพันธ์ต่างๆ ยอมรับความหลากหลายที่ปรากฏรอบกาย และจะทำให้เราตระหนักว่าปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันคือ การมองเห็นความมีตัวตนของคนอื่น ยินดีรับฟังเสียงของกันและกันอย่างเห็นอกเห็นใจ และต้อง “เข้าใจ” อย่างแท้จริง
Flowers for Mrs. Harris
ผู้แต่ง พอล กาลลิโค ผู้แปล บัญชา สุวรรณานนท์
ผู้ออกแบบปก Typhoon Studio
จำนวน 144 หน้า ราคาปก 220 บาท
ปีที่พิมพ์ 2559 ISBN 978-616-92462-4-4
เรื่องราวของแม่บ้านรับจ้างชาวลอนดอน “เอด้า แฮรีส” ผู้อยากเป็นเจ้าของชุดราตรีแสนวิจิตรมูลค่าหลายร้อยปอนด์ของสำนักตัดเย็บเสื้อผ้าชั้นสูง คริสเตียง ดิออร์ เธอมุมานะเก็บหอมรอมริบอยู่สามปีจนมีวันที่ได้หอบเงินสดเป็นฟ่อนใส่กระเป๋าหนังเทียมและจับเครื่องบินมุ่งหน้าสู่มหานครปารีสเพื่อความฝันอันสวยงาม ความอุตสาหะไม่ย่อท้อต่อความลำบากบวกกับความมีน้ำใจทำให้ทุกคนที่พบเจอเธอพากันหลงรัก ประทับใจ และสำนึกในบุญคุณ ต่างพากันมอบ ‘ดอกไม้’ ให้เธอเพื่อแสดงมิตรไมตรีที่ไม่มีพรมแดนภาษาและดินแดนใดมาขวางกั้นหนังสือเล่มนี้อุทิศแด่ความพากเพียรบากบั่น สำหรับความอดทนขยันของมนุษย์งานทุกคนบนโลกนี้
Génitrix
ผู้เขียน ฟร็องซัวส์ โมริยัค ผู้แปล วัลยา วิวัฒน์ศร (แปลจากภาษาฝรั่งเศส)
ผู้ออกแบบปก wrongdesign
จำนวน 128 หน้า ราคาปก 190 บาท
ปีที่พิมพ์ 2559 ISBN 978-616-92462-3-7
“…หล่อนถูกซัดไปยังชายฝั่งชีวิต สดับเสียงดนตรียามรัตติกาลของโลกอีกครั้ง ราตรีผ่อนลมหายใจผ่านมวลใบไม้ หมู่ไม้ใหญ่ใต้แสงจันทร์กระซิบกระซาบกันโดยไม่ทำให้สกุณาผวาตื่น สายลมเย็นสะอาดจากมหาสมุทรพัดเป็นระลอกพลิ้วพลิกยอดสนสุดคณานับ แล้วระเรื่อยไล่ลงมาตามไร่องุ่นต่ำเตี้ย สอดประสานความหอมสุดท้ายแทรกหมู่ต้นติเยอลกลิ่นกรุ่นในสวนของบ้าน ในที่สุดก็มาสูญสลายลงบนใบหน้าเหนื่อยอ่อนสิ้นแรงใบหน้านี้…”
จากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสที่เรียงร้อยถ้อยคำสุดลึกซึ้งกินใจ สู่บทแปลภาษาไทยแสนละเมียดละไมของวัลยา วิวัฒน์ศร
มาตา หรือ Genitrix เรื่องราวการช่วงชิงอำนาจความสัมพันธ์ในคฤหาสน์ตระกูลกาเซอนาฟแห่งแคว้นลองด์ หนึ่งในงานประพันธ์โด่งดังของ ฟร็องซัวส์ โมริยัค ผู้ได้ชื่อว่าสามารถน้อมนำความงามของธรรมชาติมารจนาให้เกิดท่วงทำนองแห่งภาษาได้อย่างล้ำเลิศ
Capitães da Areia
ผู้เขียน ฌอร์จ อะมาดู ผู้แปล กอบชลี (แปลจากภาษาโปรตุเกส)
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก มานิตา ส่งเสริม
จำนวน 304 หน้า ราคาปก 320 บาท
ปีที่พิมพ์ 2559 ISBN 978-616-92462-2-0
เรื่องราวชีวิตของเหล่าเด็กกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม "กัปตันเม็ดทราย" เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่คือเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเรื่องเล่าของเหล่าเด็กผู้ถูกทอดทิ้ง นี่คือชีวิต คือการเดินทาง รอยยิ้ม น้ำตา และการเติบโตไปตามเส้นทางชีวิตของตนเอง
กัปตันเม็ดทราย ผลงานการเขียนของ ฌอร์จ อะมาดู นักเขียนชาวบราซิล กอบชลี ผู้แปล แปลหนังสือเล่มนี้จากภาษาโปรตุเกสโดยตรง ความเข้นข้นของเรื่องราวและอรรถรสทางวรรณศิลป์จึงยังคงอยู่ให้ผู้อ่านได้เข้าไปสัมผัสอย่างครบครันนี่คือเรื่องราวของ กัปตันเม็ดทราย กลุ่มเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งต้องลักขโมยตามท้องถนนและเคหะสถานเพื่อเลี้ยงชีพ ชีวิตยากไร้ที่มีแต่อิสระของพวกเขาเป็นที่รังเกียจของชาวเมืองซัลวาดอร์ รัฐบาเยีย โดยพวกเขาอาศัยในโกดังร้างแห่งหนึ่งริมท่าเทียบเรือเก่า ภายใต้กฎของกลุ่มที่จะไม่ลักขโมยกันและกัน แบ่งปัน และช่วยกันทำงาน เหล่ากัปตันเม็ดทรายล้วนเติบโต เรียนรู้ ผ่านความเจ็บปวดล้มตายไปด้วยกัน ก่อนจะเดินไปสู่หนทางชีวิตซึ่งเหมาะสมกับตัวเอง
The Great Gatsby
ผู้เขียน เอฟ. สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้แปล โตมร ศุขปรีชา
บรรณาธิการต้นฉบับ สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
ผู้ออกแบบปก น้ำสัม สุภานันท์
จำนวน 184 หน้า ราคาปก 240 บาท
ปีที่พิมพ์ 2558 ISBN 178-616-92462-0-6
The Great Gatsby คือนวนิยายอมตะที่ฟิตซ์เจอรัลด์สามารถเก็บรายละเอียดของความเป็นมนุษย์มาเล่าเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของผู้อ่านได้อย่างละมุนละไม ทำให้เราเห็นความบอบบางของมนุษย์ เห็นความเพ้อฝันเลิศลอยและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งหวังของบุรุษสตรีผู้พยายามจะก้าวข้ามเส้นขีดจำกัดของตัวเอง ในขณะเดียวกัน ทุกหน้าทุกบทของนวนิยายเรื่องนี้คือการบอกเล่าถึงเรื่องราวที่คนคนหนึ่งไม่อาจอยู่กับปัจจุบันและโหยหาอดีตที่ไม่อาจแก้ไขย้อนคืน
The Great Gatsby เล่าผ่านท่วงทำนองภาษาแสนไพเราะ กลวิธีการเขียนทำให้เราสัมผัสความคลุมเครือสับสน และเห็นระยะห่างของหลายสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างของความจริงความลวง ระยะห่างของความสัมพันธ์ ระยะห่างของจุดเริ่มต้นและจุดจบของชีวิต รวมถึงแสงสีเขียววิบวับที่เห็นอยู่ไกลๆ ในสายตาของผู้ชายที่ชื่อ เจย์ แก็ตสบี้… แก็ตสบี้เชื่อแสงสีเขียว เชื่ออนาคตอันเร้าอารมณ์ซึ่งล่าถอยไปจากเราทุกปีๆ มันหลบลี้หนีเราไป แต่ไม่ว่าอย่างไร พรุ่งนี้เราจะวิ่งให้เร็วขึ้นอีก ยื่นแขนของเราให้ไกลออกไปอีก… และเช้าวันหนึ่งที่สวยสดงดงาม
เราจึงเต้นเร่าต่อ ราวเรือแล่นฝ่ากระแสน้ำมุ่งหน้าสู่อดีตไม่รู้จักหยุดหย่อน…